4 เลือดปนมูก หรืออุจจาระเป็นมูกเลือด มักพบใน (1) โรคบิด คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อในลำไส้ใหญ่ทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล จึงอุจจาระเหลว และเป็นมูกเลือด เกิดได้ในคนทุกวัย เกิดจาก ก.
กำลังกินยาบำรุงเลือดที่เข้าธาตุเหล็ก ข.
สาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นที่พบบ่อย ก็คือ เกิดจากการระคายเคืองของยาแก้ปวดแอสไพรินและยาแก้ข้ออักเสบ (ยาแก้ปวดข้อ) ทำให้เยื่อบุผิวกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบรุนแรงและทำให้เลือดออก ถ้าออกคราวละมากๆ ก็อาจทำให้มีอาการอาเจียนเป็นเลือดสด ถ้าออกซึมทีละน้อย ก็ทำให้มีอาการถ่ายดำ ดังนั้น ใครก็ตามที่กินยาแอสไพริน (เช่น กินยาแก้ปวดซอง กินแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ หรือโรคหัวใจ) หรือกินยารักษาอาการปวดข้อปวดหลัง ก็พึงต้องสังเกตลักษณะสีสันของอุจจาระเป็นประจำ ถ้าพบว่ามีอาการถ่ายดำก็ต้องรีบไปพบแพทย์ 4. นอกจากยาแล้ว เหล้าก็อาจทำให้เยื่อบุผิวกระเพาะอาหารอักเสบรุนแรงจนมีเลือดออกได้เช่นกัน คนที่เป็นโรคแผลที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น (มีอาการปวดแสบตรงลิ้นปี่เวลาหิวหรืออิ่มจัด) ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง แผลอาจกินลึกจนทำให้มีเลือดออกได้ โรคมะเร็งที่กระเพาะอาหารเมื่อลุกลามไปกินถูกบริเวณที่มีเส้นเลือด ก็อาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะได้ 5.
ถ่ายปนเลือดสีแดงสด เลือดสีแดงสดที่ถูกขับออกมาพร้อมอุจจาระมักจะมีความเกี่ยวข้องกับลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มีสาเหตุดังนี้ 1. 1 เลือดออกในลำไส้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วหากมีเลือดออกในลำไส้ใหญ่ เลือดมักจะมีทั้งสีแดงสดจากเลือดใหม่ และมีสีแดงคล้ำ หรือมี ลิ่มเลือด ปนอยู่ด้วยจากเลือดที่ตกค้างอยู่ภายใน หากมีเลือดออกเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดท้องรวมอยู่ด้วย แนะนำให้เก็บเลือดบางส่วนไปให้แพทย์ตรวจสอบหาสาเหตุของการที่มีเลือดออกในลำไส้ใหญ่ เพื่อรับการรักษาให้ตรงจุด 1. 2 ท้องผูก เลือดสีแดงสดอาจมาจากอาการท้องผูกได้ โดยก้อนอุจจาระมีขนาดใหญ่ และแข็ง เมื่ออุจาระจึงทำให้รูทวารได้รับการบาดเจ็บได้ หากนี่เป็นสาเหตุบริเวณรูทวารของผู้ป่วยมักมีอาการแสบร่วมด้วย วิธีการรักษาคือ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักและผลไม้ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะฟักทอง มะละกอ และมะขาม 1. 3 โรคริดสีดวงทวารหนัก โรคนี้มีสาเหตุโดยตรงมาจากอาการท้องผูก อาการที่เกี่ยวข้องคือ การมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาเป็นจำนวนมากเวลาอุจจาระ โดยอาจไหลออกมาเป็นหยดๆ หรือเป็นสายเลือดเลยก็ได้ อีกทั้งยังมีอาการเจ็บและแสบมากที่บริเวณทวาร วิธีรักษาคือ ให้ดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เมื่อเลือดไหลเป็นจำนวนมาก และไม่หยุดทันทีหลังจากการขับถ่าย ผู้ป่วยควรประคบเย็นที่บริเวณทวารจนกว่าเลือดจะหยุด ในกรณีที่รู้สึกปวดบริเวณรูทวารมากๆ ให้ใช้ยาเหน็บในการรักษาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หากไม่หายดีควรไปพบแพทย์ 2.
เลือดออกเฉพาะที่ตามระบบอวัยวะ ได้แก่ 1. 1 การกลืนเลือดเข้าไป เช่น กลืนเลือดแม่เราไปในทารกแรกคลอด กลืนเลือดกำเดา เป็นต้น 1. 2 หลอดอาหาร เช่น esophagitis จากยา gastroesophageal reflux, ruptured esophageal varices 1. 3 กระเพาะอาหาร เช่น acute gastritis จากยา peptic ulcer, stress ulcer เป็นต้น 1. 4 Duodenum เช่น peptic disease, duplications 2. เลือดออกทั่วไป (systemic) ได้แก่ 2. 1 โรคเลือดกลุ่ม bleeding disorders ซึ่งจะตรวจพบจุดเลือดออกตามผิวหนัง หรือเลือดออกที่อวัยวะอื่นนอกระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย 2. 2 โรคติดเชื้อ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น สาเหตุของเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนปลาย 1. เลือดออกเฉพาะที่ ได้แก่ Meckel's diverticulum, juvenile polyps, duplications, anal fissure, hemorrhoids, volvulus, intussusception เป็นต้น 2. เลือดออกทั่วไป ได้แก่ 2. 1 โรคเลือด ดังข้างต้น 2. 2 โรคติดเชื้อ ได้แก่ enteric fever, acute colitis รวมทั้ง necrotizing enterocolitis ในทารกและ necrotizing enteritis ในเด็กโต ซึ่งอาจจะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้ 2.
2 เลือดสีแดงคล้ำ มักพบใน (1) โรคริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งส่วนใหญ่เลือดจะออกไม่มากและจะหยุดเองได้ ให้การรักษาดังที่กล่าวไว้ข้างต้น (2) เลือดออกในลำไส้ใหญ่ ถ้าเลือดออกมากจะมีเลือดสีแดงสดและลิ่มเลือดปนออกมาด้วย ในกรณีเช่นนี้ ต้องให้ผู้ป่วยนอนพัก งดน้ำและอาหาร แล้วรีบพาไปโรงพยาบาล ถ้าเลือดออกน้อยและหยุดเองให้รอดูอาการก่อนได้ ถ้าไม่เป็นอีกก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเป็นอีกควรไปโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน 9.