1. เลือกอาหารช่วยต้านแสงแดด แสงแดดและอากาศร้อนในบ้านเราผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนังไม่ว่าจะปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวแดง ผิวแสบไหม้ หรือปัญหาใหญ่อย่างมะเร็งผิวหนัง นอกจากการทาครีมกันแดดป้องกันแล้วคุณควรเสริมด้วยอาหารที่มี สารไลโคปีน เช่น มะเขือเทศ แตงโม ฯลฯ เบต้าแคโรทีน เช่น แครอท ฟักทอง ฯลฯ และ กรดอะมิโน เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ฯลฯ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่นและชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 2. ลดความเครียด ความเครียด ความกังวล สิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำลายจิตใจเราแล้วยังส่งผลเสียต่อผิวของเราได้เช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายเกิดความเครียดหรืออารมณ์เสียเมื่อไรจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดชื่อว่า "คอร์ติซอล" ออกมาทำให้ไขมันทำงานหนักม
งานออกมามีประสิทธิภาพ: เมื่อพนักงานไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเครียดรถติด สภาพจิตใจก็จะดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งการทำงานในออฟฟิศก็อาจจะมีการรบกวนกัน ชวนคุย หรือมีคนเข้ามาแทรกอยู่ตลอดเวลา ทำให้งานไม่เดินอย่างที่ควรจะเป็น การมีสมาธิอยู่กับตัวเองจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ปัญหาที่ต้องเจอแน่นอนในการทำ Remote Working 1. สื่อสารยาก เข้าใจไม่ตรงกัน: แน่นอนว่าการสื่อสารต้องเป็นปัญหาอยู่แล้ว เพราะอาจไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน เวลาทักไลน์ไปถามเรื่องงาน ก็อาจจะต้องรอเวลาสักนิดกว่าจะได้รับคำตอบ แต่แก้ไขได้ด้วยการ กำหนดช่วงเวลาแห่งการสอบถามขึ้นมา ว่าวันหนึ่งจะต้องมีช่วงที่สแตนด์บายรอคนติดต่อสอบถามตอนช่วงกี่โมงถึงกี่โมง เป็นต้น 2. มองไม่เห็นความเคลื่อนไหว: เพราะการทำงานที่แบ่งคนไปทำแต่ละหน้าที่ บางคนก็อาจจะไม่ได้อัปเดตความเคลื่อนไหวให้รับทราบ มารู้อีกทีก็เสร็จแล้ว ซึ่งบางครั้งก็อาจทำพลาด ทำผิด ทำให้ต้องแก้ไขโดยไม่จำเป็นและเสียเวลา แต่ปัญหานี้ก็แก้ไขได้ด้วยการกำหนดวันนัดหมายประชุมอัปเดตความเคลื่อนไหวของแต่ละคน หลักในการทำงานแบบ Remote Working ให้ได้ประสิทธิภาพ 1. มีการติดตามความเคลื่อนไหวผ่านอีเมล หรือช่องทางการสื่อสารงานในออฟฟิศทุกสัปดาห์ ประเมินรายเดือน 2.
คำถามยอดฮิตที่ผมได้จากน้องๆนิสิตนักศึกษาที่อยากทำงาน part time ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาลัยต่างๆ คือ "ผมจะคิดราคางาน freelance ยังไงดีครับ? " คิดราคาถูกไปก็เหมือนจะไม่คุ้ม และถ้าคิดแพงไปก็ไม่จ้างเราเสียโอกาสไปอีก สำหรับในบล็อกนี้หลักการง่ายๆที่เราอยากให้ไว้ และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการคิด ราคาสำหรับงาน freelance ของเราคือ วิธีคิดราคาโดยใช้หลักการ man-hour หรือ man-day นั่นเอง (ปล. ในบล็อกนี้เราขอใช้เป็น man-hour ไปเลยเนาะ) การคิดราคางานโดยใช้วิธีนี้จะทำให้เราสามารถคุมต้นทุนของเราได้ดีกว่าใช้ความรู้สึก สามารถต่อรองราคากับนายจ้างได้ดีกว่า และทำให้เราดู professional ในสายต่อนายจ้างมากขึ้นด้วย ต่อมาคำถามยอดฮิตจากน้องๆเช่นกันคือ เรื่องวิธีการทำงาน และวิธีคุยงานระหว่างนายจ้าง "ผมจะทำงานที่บ้านยังไงดี? หรือต้องเข้าออฟฟิตด้วยครับ? " ซึ่งวันนี้เราจะมาเคลียร์ 2 เรื่องนี้กันโดยเริ่มจาก มาตรวัดที่ 1: คำนวนราคาต้นทุนของตัวเราเอง ก่อนที่เราจะคิดราคาเป็น man-hour เราต้องหาฐานราคาของตัวเราให้ได้ก่อน โดยเราอาจจะคิดจาก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราใช้ 1 เดือน และเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเป็นประจำ เช่น 1. ค่าเทอม (ต้องเอามาหารให้ได้ราคาต่อเดือน) 2.
สิ่งที่ผู้บริหารคิดกับสิ่งที่เป็น มีข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนการใช้เวลาในที่ทำงานของพนักงานในองค์กร เพื่อเป็นการวัดผลว่า เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับกิจกรรมใดบ้าง มีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งผลสำรวจโดยปกตินั้นค่าเฉลี่ยของชั่วโมงการทำงานที่ออฟิศในแต่ละวันนั้นอยู่ที่ 8. 8 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งที่พลิกล็อคจากสิ่งที่ผู้บริหารคิดนั่นก็คือพนักงานได้โฟกัสกับงานของตัวเองจริงๆเพียงแค่ 3 ชม.
1. การควบคุม ผมรู้สึกว่าการทำงานแบบเจอหน้ากันทำให้ผมควบคุมอะไรได้มากกว่า ไม่ใช่การควบคุมในเชิงการชี้นิ้วสั่งนะ แต่เป็นการควบคุมสถานการณ์ โดยที่ผมเชื่อว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้า จับต้องได้ สามารถควบคุมได้ง่ายกว่า เช่นเวลามีงานอะไรเร่งด่วนก็สามารถตะโกนข้ามโต๊ะเพื่อพูดคุยทันที (แทนที่จะต้องรอการส่ง Message ผ่าน Slack หรือ Assign งานผ่าน Project Management Software แล้วเฝ้ารอให้คนที่ผม Mention ถึงมาตอบ) 2. การทำงานใน Office ไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตั้งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งบริษัท ผมคิดถึงคำว่า "Culture" มาตลอด ถ้ามีคนเป็นร้อยคนจะเป็นยังไง? ถ้าเจอปัญหา จะแก้ไขกันยังไง? คนที่เข้ามาทำงานร่วมกับเราควรจะเป็นคนแบบไหน?
5. เวลาในการตอบสนองต่ำ (Ping) – การตอบสนองในทันทีเป็นสิ่งสำคัญเมื่อทำงานบนเดสก์ท็อประยะไกล นั่นเป็นสาเหตุที่เวลาแฝงของ AnyDesk ต่ำกว่า 16 มิลลิวินาทีบนเครือข่ายท้องถิ่น ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้. 6. มีการ รักษาความปลอดภัยระดับสูง – ใช้เทคโนโลยี TLS 1. 2 มาตรฐานเดียวกับธนาคาร จะปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต – เราเข้ารหัสทุกการเชื่อมต่อด้วยการแลกเปลี่ยนคีย์ RSA 2048 ที่ไม่สมมาตร – การเชื่อมต่อทั้งหมดนำเสนอ Perfect Forward Secrecy ด้วย Diffie-Hellman Ephemeral Handshake (DHE) ดังนั้นบุคคลที่สามจึงไม่สามารถถอดรหัสเซสชันได้ – ใช้การแฮ็กรหัสผ่านแบบเค็มเพื่อปกป้องรหัสผ่านของคุณ การถอดรหัสนั้นเป็นไปไม่ได้. 7. การ ถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างคอมพิวเตอร์ได้ ง่าย เพียงคัดลอกและวาง. 8. สามารถ แชร์หน้าจอ กับให้กับผู้ใช้งานได้หลายคน เพื่อใช้ในการประชุมหรือสัมมนา. AnyDesk มี Plan อะไรบ้าง?. ในปัจจุบัน (28/02/2021) AnyDesk มีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบหลัก ๆ 1. ESSENTIALS คุณสมบัติพื้นฐานสำหรับการทำงานระยะไกล 2. PERFORMANCE มีรวดเร็วและเชื่อถือได้ และฟีเจอร์ธุรกิจครบชุด 3. ENTERPRISE ซึ่งมีทั้งแบบ Cloud และ On-premises สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ!!!...
เมษายน 15, 2020 | By Techsauce Team เรียบเรียงโดย ผศ. ดร.
การทำงานแบบ Remote Working นั้นถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ คือการที่คนที่ทำงานร่วมกันไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้ากันใน Office สามารถทำงานด้วยกันผ่านเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ และสามารถส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ตรงตามเวลา ซึ่งวิธีการทำงานแบบนี้นั้นมี Case Study ต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจที่ผมชื่นชอบอย่าง Automattic (ผู้สร้าง WordPress) 37Signals (ผู้สร้าง Basecamp) Buffer หรือถ้าของคนไทยที่เป็นกึ่ง Remote ก็คือ พี่เม่น จาก Seedthemes แต่ว่าวิธีการทำงานแบบนี้มันเหมาะกับคนไทยอย่างเราจริงๆ รึเปล่า? ก่อนอื่นเลย ผมขอพูดถึงข้อดีของการทำงานแบบ Remote ในมุมมองของผมก่อนนะครับ ข้อดีของ Remote 1. ค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าถ้าทำงานแบบมี Office ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งที่คุณจะต้องหมดไปก็คือค่าเช่าที่ (และค่าตกแต่ง) การทำงานแบบ Remote จะทำให้คุณตัดค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ไปได้ Note: หลายๆ บริษัทที่เป็น Remote มีสวัสดิการออกค่าใช้จ่ายให้พนักงานสามารถเข้าไปนั่งใน Co-working Space ตรงส่วนนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายในระดับหนึ่งแต่ผมคิดว่าไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับการไปเช่า Office 2. มีโอกาสจ้างคนที่ใช่มากขึ้น คนเก่ง อยู่ที่ไหนก็เป็นคนเก่ง การที่คุณไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่การทำงานจะทำให้คุณได้มีโอกาสได้คนเก่งเข้ามาทำงานร่วมกับคุณได้โดยตัดปัจจุยเรื่อง Location ออกไป Remote ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ผมเชื่อว่าทุกคน ทุกบริษัทที่ทำธุรกิจแบบ Remote นั้นไม่ได้เอาประเด็นทั้ง 2 ปัจจัยข้างบนเป็นปัจจัยหลัก แต่เป็นเรื่องของรูปแบบการใช้ชีวิตแบบอิสระมากกว่า การทำงานแบบ Remote มีข้อดีขนาดนี้ แล้วทำไมผมถึงไม่ชอบ ยังอยากที่จะนั่งทำงานใน Office อยู่ดีล่ะ?
ประหยัดค่าเดินทาง: ข้อนี้คงไม่มีใครปฏิเสธแน่ๆ เพราะมันเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานในเมือง แทบจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนั่งรถหลายต่อเพื่อให้มาทันเวลาทำงาน ไหนจะค่ารถไฟฟ้า ค่าแท็กซี่ ค่ารถตู้ ค่าทางด่วน ซึ่งถ้าทำงานแบบ Remote Working อยู่บ้านคุณจะไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ลูกทีมแฮปปี้ คุณก็แฮปปี้ 2. มีเวลาเพิ่มมากขึ้น: การเดินทางในแต่ละวันนี่เป็นตัวทำลายกำลังใจในการทำงานมาก ตื่นมาตอนเช้าแค่คิดภาพว่าต้องไปเผชิญกับรถติด คนแน่นขนัดบน BTS ก็ทำให้หมดพลังใจแล้ว บางคนเดินทางไปกลับวันละไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งมันทำให้ทุกอย่างพังไปหมด ถ้าคุณได้ลอง Remote Working ดูจะรู้ว่าเวลาที่เพิ่มขึ้นมาในวันวันหนึ่งมันเยอะมากจริงๆ 3. ต้นทุนบริษัทลดลง: อย่าลืมว่าในฐานะผู้ประกอบการ เราเองก็ต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ ยิ่งคนเยอะ ก็ยิ่งต้องจ่ายเยอะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำงานแบบ Remote Working คุณจะรู้เลยว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้มันลดลงอย่างเห็นได้ชัด และตัวพนักงานเองก็ไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ไม่ต้องเปลืองปริมาณน้ำหอม ไม่ต้องใช้ไดร์เป่าผมออกไปเจอใครให้ดูดี ปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้พอรวมกันทุกวันก็ประหยัดค่าสาธารณูปโภคไปได้เยอะมาก แบบไม่น่าเชื่อเลย 4.
สำหรับคำถามที่ว่า "ผมจะทำงานที่บ้านยังไงดี? หรือต้องเข้าออฟฟิตด้วยครับ? "